วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เสียงประกอบในการผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง (Sound effect)

แหล่งของเสียงประกอบส่วนใหญ่ คือ แผ่นเสียง เทป และแผ่นซีดี ที่ผลิตจากต่างประเทศและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย นอกจากจะเป็นเสียงประกอบสำเร็จรูปแล้ว อาจจะมาจากเสียงในภาพยนตร์ (Sound Track) การใช้เสียงประกอบจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการจัดทำบทรายการเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงทำการคัดเลือกจากแผ่นสำเร็จรูปที่มีอยู่ หรือบางกรณีเสียงประกอบบางอย่างไม่มี หรือไม่เหมาะสมกับรายการ หรือไม่สมจริงตามวัฒนธรรมไทย ผู้ผลิตรายการสามารถผลิตและกำกับเสียงประกอบในรายการขึ้นมาเองก็ได้ ซึ่งการผลิตเสียงประกอบทำได้ 2 ลักษณะคือ
1. การผลิตเสียงประกอบนอกห้องบันทึกเสียง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะที่สำคัญ คือ
a. การบันทึกจากเหตุการณ์จริงๆ โดยไม่มีการควบคุม หรือกำกับ เช่น เสียงการจราจร เสียงในตลาดสด เสียงการจลาจล เสียงเชียร์ในสนามฟุตบอล ไม่ควรนั่งใกล้หรือร่วมกับคนดูคนอื่นๆ ควรใช้ไมค์ที่มีการรับเสียงในมุมกว้าง หรือนั่งไกล เพื่อให้ได้ยินเสียงมุมกว้างทั้งหมด การบันทึกเสียงประกอบลักษณะนี้ต้องเลือกไมโครโฟนให้เหมาะสม เพราะจะทำให้ได้เสียงที่เฉพาะจุดเกินไปไม่สมจริงได้
b.การบันทึกจากเหตุการณ์จริงโดยอาศัยเครื่องบันทึกเทปกระเป๋าหิ้ว (Portable recorder) เช่น เสียงไก่ หมู เป็ดในฟาร์ม ต้องมีการควบคุมกำกับไม่ให้มีเสียงอื่นเข้ามาแทรก
2.การผลิตเสียงประกอบในห้องบันทึกเสียง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
a. การผลิตเสียงประกอบเตรียมไว้ก่อน เพื่อป้องกันการบันทึกเสียงประกอบซ้ำแล้วซ้ำอีก และสามารถตรวจสอบเสียงประกอบสำหรับการแก้ไขได้ การเตรียมเสียงประกอบไว้ก่อนจะอาศัยคนแสดง จำนวนหนึ่งไม่เกิน 4 – 5 คน และอุปกรณ์ประกอบ Mr. Frank Robert Brookes อดีตผู้ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงของสถานีวิทยุ



เทคนิคการจัดรายการเพลงทางวิทยุกระจายเสียง
การวิจัยเรื่อง “เทคนิคการจัดรายการเพลงทางวิทยุกระจายเสียง” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมุ่งศึกษาเทคนิคการจัดรายการเพลง เปรียบเทียบเทคนิคการจัดรายการเพลง และเพื่อวิเคราะห์เทคนิคการจัดรายการเพลงแต่ละรูปแบบทางวิทยุกระจายเสียง โดยใช้การบันทึกเทปรายการและการสัมภาษณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการบันทึกเทปรายการเพลงประเภทยอดนิยมร่วมสมัยและรายการเพลงร่วมสมัยจำนวน 6 คลื่นความถี่ ในเวลา 8.00-9.00 น. 13.00-14.00 น. และ 21.00-22.00 น. เป็นระยะเวลา 1 เดือน และเก็บรวบรวมโดยการสัมภาษณ์ผู้ดำเนินรายการเพลงจำนวน 9 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. เทคนิคการจัดรายการเพลงประเภทรายการเพลงร่วมสมัยและรายการเพลงยอดนิยมร่วมสมัย การพูดเปิดรายการไม่มีรูปแบบที่แน่นอน แต่ดีเจจะพูดเปิดรายการด้วยความหลากหลายไม่ซ้ำกัน พูดเปิดรายการด้วยทัศนคติที่ดี รวมทั้งพูดเปิดรายการด้วยความสุภาพและสดใส การพูดเข้าเพลงจะพูดเข้าเพลงด้วยความหลากหลายที่มาจากข้อมูลเนื้อหาของเพลง จากเนื้อหาสาระข่าวสาร และจากน้ำเสียงของดีเจ ไม่พูดทับเนื้อร้อง และไม่พูดข้อมูลทั้งหมดในครั้งเดียว การเปิดสายสนทนาหรือเล่นเกมส์กับผู้ฟังจะมีการทักทายกับผู้ฟังเป็นคำถามสั้นๆ ก่อน เล่นเกมส์หรือสนทนากับผู้ฟังด้วยความเป็นกันเอง ควบคุมเวลาให้สั้นกระชับเข้าประเด็นเร็วที่สุด รู้จักการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะสนทนาหรือเล่นเกมส์ ให้เกียรติคนฟัง รวมทั้งพูดภาษาเดียวกับผู้ฟัง การพูดเนื้อหาสาระในรายการดีเจจะนำเนื้อหาสาระที่มีความน่าสนใจ ทันสมัยและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมานำเสนอโดยพูดเป็นภาษาของตัวเองด้วยความกระชับ ในลักษณะเหมือนสนทนากับผู้ฟัง และบอกที่มาของเนื้อหาสาระด้วย การพูดเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเพลง ดีเจจะนำเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงและข้อมูลของศิลปินทั้งที่เกี่ยวกับเพลงและที่ไม่เกี่ยวกับเพลงมาพูดเป็นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเพลงที่เปิดจบแล้วหรือกำลังจะเปิดต่อไป โดยพูดข้อมูลทีละประเด็นในแต่ละครั้ง ไม่ควรพูดข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียวกัน การพูดลารายการ ดีเจจะพูดลารายการอย่างสั้นกระชับได้ใจความและพูดลารายการอย่างอารมณ์ดี 2. ผลการศึกษาเปรียบเทียบเทคนิคการจัดรายการเพลงประเภทรายการเพลงยอดนิยมร่วมสมัย (Contemporary Hit Radio,CHR) กับรายการเพลงร่วมสมัย(Adult Contemporary Radio, AC)พบว่า เนื้อหาที่นำมาพูดเปิดรายการ พูดเข้าเพลง เปิดสายสนทนาหรือเล่นเกมส์กับผู้ฟัง พูดเนื้อหาสาระในรายการการ พูดเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเพลง และพูดลารายการ ผู้ดำเนินรายการจะนำเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันมาพูดคือเรื่องที่มีความน่าสนใจ แต่จะแตกต่างกันที่ลักษณะการนำเสนอของดีเจคือรายการเพลงประเภทเพลงยอดนิยมร่วมสมัยจะพูดในลักษณะที่คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ร่าเริง สนุกสนาน ครื้นเครง ในขณะที่รายการเพลงร่วมสมัยจะพูดในลักษณะอบอุ่น นุ่มนวล 3. ผลการวิเคราะห์เทคนิคการจัดรายการเพลง พบว่า เนื้อหาสาระที่นำมาพูดหรือนำมาเสนอในรายการ ดีเจสามารถนำเนื้อหาเกี่ยวกับรายการ เนื้อหาทั่วๆ ไป เนื้อหาสาระเกี่ยวกับเพลงและศิลปิน โดยเนื้อหาเหล่านี้ต้องน่าสนใจ เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟังเป้าหมายของรายการ สิ่งเหล่านี้ดีเจนำมาพูดในรายการได้ในลักษณะที่เป็นภาษาหรือสไตล์ของตัวเองด้วยความกระชับ วิธีการนำเสนอดีเจควรพูดหรือนำเสนอด้วยความหลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ข้อมูลต่างๆ ที่ดีเจมีไม่ควรจะพูดทั้งหมดในคราวเดียวกัน ดีเจต้องไม่พูดทับเพลง กรณีรับสายหน้าไมค์ดีเจควรต้องทักทายกับผู้ฟังก่อนเพื่อคลายความตื่นเต้น แล้วค่อยเข้าประเด็นที่จะสนทนาหรือเล่นเกมส์ให้เร็วที่สุด กรณีเล่นเกมส์หากคนฟังตอบไม่ได้ ดีเจสามารถช่วยโดยการบอกใบ้คำตอบ และดีเจควรต้องตัดสายอย่างนุ่มนวลเป็นไปด้วยความสุภาพเมื่อมีแนวโน้มว่าจะใช้เวลามากเกินไปจากที่กำหนด ลักษณะการพูด ดีเจควรพูดหรือดำเนินรายการโดยให้สอดคล้องกับรูปแบบของรายการ พูดในลักษณะที่เป็นกันเองกับผู้ฟัง พูดเป็นภาษาของตัวเอง พูดในลักษณะสั้นกระชับ พูดด้วยความสุภาพสดใส พูดโดยให้เกียรติคนฟัง และพูดภาษาเดียวกับผู้ฟัง ความคิดหรือทัศนคติ ดีเจควรต้องมีมุมมองหรือทัศนคติที่ดี เพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาหรือเรื่องราวต่างๆ ในแง่มุมที่ดีให้แก่คนฟัง การแก้ปัญหา เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นในขณะดำเนินรายการ ดีเจควรต้องแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที เช่นกรณีรับสายหน้าไมค์ คนฟังพูดมากเกินไป พูดน้อยเกินไป พูดไม่ตรงประเด็น ดีเจจะต้องตัดสายด้วยความสุภาพ รวมถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในขณะจัดรายการ




กระบวนการผลิตรายการ ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ โดยสามารถสรุป แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
1. ขั้นเตรียมการหรือขั้นก่อนการผลิต (Preparation or Pre-production)2. ขั้นออกอากาศหรือขั้นการผลิตรายการ (On air or Production)
3. ขั้นหลังการผลิตรายการ (Post-production)
การวางแผนการผลิตรายการ การดำเนินงาน จะมีลักษณะเป็นรูปแบบรายการใดรูปแบบรายการหนึ่งชัดเจน เช่น รูปแบบรายการเพลง รูปแบบรายการข่าว ผู้ผลิตรายการหรือผู้ควบคุมการผลิตจะรับผิดชอบรายการในช่วงเวลาหรือประเภทรายการ ดังนั้น สิ่งที่ควรทราบก่อนในเบื้องต้นเพื่อวางแผนการผลิตรายการ คือ 1. วัตถุประสงค์และนโยบายของสถานีและบริษัทผู้ผลิตรายการ 2. ผู้ฟังเป้าหมาย 3. สถานี เวลาออกอากาศ ความยาวรายการ 4. ทรัพยากรที่มีอยู่ของสถานีหรือบริษัท ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์ ระยะเวลา 5. ศึกษาตัวอย่างที่ดี เพื่อนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับรายการ หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจ 6. วางแผนการผลิตรายการ 6.1 กำหนดวัตถุประสงค์รายการ เพื่อให้การผลิตรายการเป็นที่ต้องการว่าจะมุ่งนำเสนออะไรแก่ผู้ฟัง 6.2 กำหนดโครงร่างของรายการ ได้แก่ เนื้อหา ประเด็นของเนื้อหา รูปแบบรายการ แขกรับเชิญ/วิทยากร 6.3 เขียนบท ผู้เขียนบทจะนำแนวคิดและประเด็นคร่าว ๆ หรือโครงร่างของรายการที่ได้รับจากผู้ผลิตรายการ ไปสร้างจินตนาการและเรียบเรียงออกมาเป็นข้อความ (คำพูด) เสียงเพลง เสียงประกอบ ต่าง ๆ ตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนบท โดยการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ - แหล่งข้อมูลบุคคล เช่น นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ - แหล่งข้อมูลเอกสารและสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ เทปเสียง อินเทอร์เน็ต - แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เช่น สถานที่เกิดเหตุ สถานที่ในท้องเรื่อง
ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มานี้จะนำมาวางโครงร่างของบทว่า ในรายการมีเรื่องหรือประเด็นอะไร ลำดับเนื้อหาอย่างไร มีวิธีการนำเสนออย่างไร แต่ละช่วงรายการมีความยาวเท่าไร จากนั้นจึงเขียนบท 6.4 การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์รายการ เมื่อได้บท ข้อมูล ประเด็นคำถามหรืออื่น ๆ พร้อมแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาอีกว่า ต้องใช้วัสดุรายการอะไร ควรเตรียมให้พร้อมก่อนการผลิตรายการ ดนตรี เสียงประกอบ เทปเสียงที่ต้องการใช้ ไมโครโฟนที่เหมาะสมกับงาน การสำรองวัสดุที่ใช้ในการบันทึกเสียงและการตัดต่อเทป การเตรียมเทปแทรก (Insert Tape) ในรายการสารคดี นิตยสารทางอากาศ สัมภาษณ์ มักใช้การบันทึกเสียงนอกสถานที่มาประกอบในรายการ เทปเหล่านี้ถ้ามีความยาวมากไปหรือไม่สมบูรณ์จะต้องนำมาตัดต่อให้ได้เนื้อหาที่ต้องการ ภายในเวลาที่กำหนด การเตรียมเทปแทรกควรบันทึกลงในเทปเสียง แยกเป็นแต่ละส่วนไว้ เพื่อใช้งานได้สะดวก โดยเขียนบอกรายละเอียดไว้ในบทด้วยว่า เทปนี้เป็นเรื่องอะไร เสียงของใคร ขึ้นต้นด้วยข้อความ/คำพูดอะไร ลงท้ายด้วยข้อความ/คำพูดอะไร 6.5 การประสานงานบุคลากร โดยเฉพาะกับแขกรับเชิญหรือวิทยากร ต้องติดต่อล่วงหน้า นัดหมายเวลา สถานที่ที่จะบันทึกเสียง กรณีรายการสด หากแขกรับเชิญหรือผู้ร่วมรายการไม่สามารถมาออกอากาศได้จะต้องทำเทปล่วงหน้าหรือไม่ หรือต้องเปลี่ยนผู้ร่วมรายการ หรือต้องเปลี่ยนประเด็นที่จะเสนอหรือไม่ 6.6 จองห้องบันทึกเสียง กรณีเป็นรายการเทป 7. ขั้นการซักซ้อม (Rehearsal) การซ้อมเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิตรายการ โดยเฉพาะผู้ดำเนินรายการ ผู้อ่านข่าว ผู้แสดงละครวิทยุ ต้องซ้อมการอ่านบท เพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหา ประเด็นคำถาม เรื่องราว อารมณ์ของบท ไม่ว่ารายการประเภทใดหากได้ซ้อมก่อนย่อมสร้างความมั่นใจในการทำงานทั้งสิ้น
วัตถุประสงค์การซ้อม 1. เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการพูด ไม่ประหม่า ตื่นกลัว 2. เกิดความราบรื่น ไม่ผิดพลาดบ่อย ๆ ทำให้เกิดความน่าฟัง ไม่เสียอารมณ์ 3. เป็นการตรวจสอบการอ่าน ได้แก่ คำยาก คำเฉพาะ การแบ่งวรรคตอน 4. ทำให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหา เรื่องราวและอารมณ์ของบทหรือตัวละคร โดยใช้ลีลา น้ำเสียงจังหวะวรรคตอน ทำให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการได้ถูกต้องตาม

ส่วนประกอบของบทวิทยุกระจายเสียง
1. ส่วนหัว (Heading) จะบอกชื่อรายการ ชื่อเรื่อง/ตอน สถานีที่ออกอากาศ/ความถี่ วัน-เวลาที่ออกอากาศ 2. ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นรายละเอียดของเนื้อหา เรื่องราว ตามลำดับ เป็นส่วนที่บอกถึง ผู้เกี่ยวข้องในรายการว่าจะต้องทำอะไร 3. ส่วนปิดท้าย (Closing or Conclusion) เป็นส่วนสรุปเนื้อหา กล่าวขอบคุณผู้ร่วมรายการดังจะได้นำเสนอให้เห็นภาพรวมในตารางข้างล่างนี้ซึ่งทั้งสามส่วนจะต้องพิจารณาดูว่าเป็นรายการประเภทใด ใช้รูปแบบการนำเสนอแบบใด(ส่วนหัว) ชื่อรายการ ชื่อเรื่อง/ตอน สถานีที่ออกอากาศ/ความถี่ วัน-เวลาที่ออกอากาศลำดับเสียงบรรยายรูปแบบนาที1INTRO…….Titleผู้ดำเนินรายการ/ทักทาย/เกริ่นจิ้งเกิ้ล/เพลง/นำรายการ/สนทนา
2CONTENT(ส่วนเนื้อหา)ผู้ดำเนินรายการเข้าสู่สาระ สัมภาษณ์/พูดคุย/เพลง3CONCLUSION (สรุป)สรุปสาระทั้งหมด/ลารายการ
ขั้นตอนการเขียนบทรายการ 1. ขั้นเริ่มรายการ (Introduction) เป็นขั้นเรียกร้องความสนใจ ใช้เทคนิคการตั้งคำถาม ใช้เสียงประกอบ 2. ขั้นจัดรูปและตกแต่งรายการ (Development) นำเอาแก่นของเรื่องมาขยายแล้วจัดให้เป็นรูปแบบรายการที่น่าสนใจ ใช้เทคนิคต่าง ๆ ให้เหมาะสม ขั้นนี้มีความสำคัญที่จะทำให้รายการมีรสชาติ สมอารมณ์ 3. ขั้นสร้างจุดประทับใจหรือจุดสุดยอด (Climax) เป็นขั้นที่จะสร้างจุดประทับใจให้กับผู้ฟังในจุดที่เรียกว่าจุดวกกลับ (turn)นำแก่นของเรื่องปูพื้น แล้วหักมุมสรุป คลายปมปัญหาของเรื่อง 4. ขั้นสรุป (Conclusion) เป็นการนำขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นมาตอกย้ำ สรุปโดยเรียบเรียงอย่างมีระเบียบให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ดังจะได้แสดงให้เห็นสัดส่วนของรายการ ยกตัวอย่างรายการ 30 นาที5 นาที5 นาที15 นาที5 นาที
ขั้นที่ 1 แนะนำรายการขั้นที่ 2 จัดรูปและตกแต่งรายการขั้นที่ 3 เสนอประเด็นต่าง ๆ สร้างจุดประทับใจขั้นที่ 4 ขั้นสรุปท้ายเทคนิคในการเขียนบท มี 5 ประการ 1. ทำไม (why) ทำไมจึงต้องเขียนบท เพื่อวัตถุประสงค์อะไร 2. ใคร (who) คือกลุ่มผู้ฟังเป้าหมายของรายการวิทยุคือใคร 3. อะไร (what) อะไร คือแก่นของรายการ 4. เมื่อใด(when) วันเวลา 5. ที่ไหน (where) สถานที่ออกอากาศ 6. อย่างไร (how) รูปแบบรายการเป็นอย่างไร ใช้วัสดุประกอบรายการอะไรบ้าง

ความหมาย ความสำคัญ ประเภทของห้องปฏิบัติการทางเสียง

ห้องบันทึกเสียง (Recording Studio)
ห้องบันทึกเสียงเป็นส่วนสำคัญต่อการทำงาน เป็นทั้งห้องที่วางอุปกรณ์ทั้งหมด และต้องสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการเก็บและสะท้อนเสียงได้เป็นอย่างดี องค์ประกอบที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อตัวงาน คุณภาพของเสียงและความรู้สึกในขณะทำงาน การสร้างห้องบันทึกเสียงไม่ว่าจะแบบอาชีพหรือส่วนตัวมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเพื่อความสมบูรณ์ของเสียงจะแตกต่างกันไปก็ในเรื่องของรายละเอียด ราคาลงทุน ส่วนในห้องบันทึกเสียง (studio room)
จะมีอุปกรณ์ลักษณะเป็นฉากเก็บเสียงที่เรียกว่า ไอโซเลชั่นบูธ (isooation booth) มันทำหน้าที่เป้นตัวเก็บเสียงเฉพาะจุดในพื้นที่ที่เอ็นจิเนียร์ต้องการมีลักษณะเป็นเหมือนแผงที่กั้นในสำนักงานสามารถยกเคลื่อนย้ายไปมาได้ ประโยชน์ของมันเพื่อแบ่งแยกเสียงในขณะที่นักดนตรีบันทึกเสียงพร้อมๆ กันในห้องบันทึกเสียง (studio room) ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยลดการรบกวนของเสียงข้างเคียงที่จะเข้าไมค์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ห้องบันทึกเสียงของศูนย์มีเดียเป็นสตูดิโอเก็บเสียง (Studio Acoustic) ที่ได้มาตรฐาน มีผนังเก็บเสียง ที่ผลิตจากใยหิน (Rock Wool) บุโดยรอบเพื่อดูดซับเสียง ป้องกันเสียงรบกวน จากภายนอก มีอุปกรณ์การบันทึกเสียงที่ทันสมัย ประกอบด้วย เครื่องผสมเสียง (Audio Mixer) ขนาด 24 Channel พร้อมด้วยชุดคอมพิวเตอร์ ตัดต่อเสียง Protools รุ่น Digi 002 สามารถบันทึกเสียงได้ทั้งระบบ Analog และ Digital ห้องบันทึกเสียงของศูนย์มีเดีย เป็นต้นแบบของห้องปฏิบัติการทางด้าน Digital Audio สามารถผลิตชิ้นงานเสียงได้ทุกประเภท ตัวย่างเช่น บันทึกเสียงและ ผสมเสียง Spot วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ผสมเสียงรายการสารคดี การพากษ์เสียงบรรยาย สำหรับรายการประเภทต่าง ๆ ฯลฯ นอกจากนี้ ห้องบันทึกเสียงยังมีขนาดกว้างขวางเพียงพอที่จะนำวงดนตรีขนาดเล็ก เข้าไปบรรเลง เพื่อบันทึกเสียงสดได้ อีกทั้งยังมีกลองไฟฟ้า (Electronic drums) ที่ช่วยสร้างเสียงเคาะจังหวะ และ Melody เพื่อการจัดทำ Demo งานเพลง และงานดนตรี ประเภทต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ห้องควบคุมเสียง (control room)
เป็นห้องที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการบันทึกเสียงทั้งหมดและเป็นห้องที่ใช้มิกซ์ดาวน์อีกด้วย และยังสามารถใช้เป็นห้องบันทึกเสียงดนตรีในระบบมิติได้อีกด้วย

ห้องควบคุมเสียง (control room)
เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์จะนั่งทำงานในห้องนี้เป็นหลัก ในห้องควบคุมเสียงแบบมืออาชีพที่ออกแบบอย่างดีส่วนมากมักจะรักษาอุณหภูมิเครื่องให้คงที่ตลอดเวลาการทำงานและกันเสียงรบกวนของเครื่องในขณะทำงานเพื่อให้บรรยากาศในห้องควบคุมเสียงมีความเงียบมากที่สุดเพื่อให้ได้ การฟังที่มีความคมชัดสูงสุด ณ ตำแหน่งที่ฟัง
ห้องควบคุมเสียงทั่วไปประกอบด้วยอุปกรณ์ที่สำคัญ คือ
1. ไมโครโฟน นับว่าเป็นอุปกรณ์พื้นฐานทั่วไปที่เรารู้จักกันดี ทำหน้าที่รับเอาพลังงานเสียงเพื่อเปลี่ยนพลังงานดังกล่าวเป็นพลังงานไฟฟ้า เอาพลังงานดังกล่าวไปผ่านวงจรขยายสัญญาญชั้นต้น เพื่อเข้าใจสู่กระบวนทางเสียงร่วมกับตัวอื่นต่อไป
2. เทรินเทเบิ้ล เป็นเครื่องเล่นแผ่นสียงซึ่งได้บันทึกเพลงไว้ เป็นเครื่องเล่นของมืออาชีพโดยแท้จริง
3. เครื่องบันทึกเสียง เป็นเครื่องบันทึกเสียงที่ได้บันทึกเสียงพูดหรือเสียงเพลงในรูปของอำนาจสนามแม่แหล็กในเทป ซึ่งเทปคือเส้นพลาสติกที่ได้เคลือบสารแม่เหล็กไว้ ในห้องบันทึกเสียงหรือควบคุมเสียงจะใช้เครื่องบันทึกเสียงที่เป็นระบบรีล-ทู-รีล ซึ่งให้คุณภาพเสียงดีกว่าเทปคาสเซ็ทหลายเท่าตัว
4. เครื่องเล่นคอมแพ็คดิสก์ เป็นเครื่องมือด้านเสียงที่เข้ามาแทนระบบเทปและแผ่นเสียง จะมีการบันทึกเสียงลงในแผ่นเสียง เมื่อเวลาเล่นกลับจะใช้แสงเลเซอร์ยิงไปที่แผ่นดิสก์ เพื่ออ่านข้อมูลในระบบดิจิตอลออกมา ด้วยระบบควบคุมที่เป็นไมโครคอมพิวเตอร์จึงทำให้การเลือกเพลง ตั้งโปรแกรมเพลงง่ายกว่าเทปและ
เทิร์นเทเบิ้ล
5. ดิจิตอลออดิโอเทปหรือแดท เป็นเทปที่บันทึกเสียงในระบบดิจิตอลให้คุณภาพเสียงใกล้เคียงกับคอมแพ็คดิสก์ หาเพลงได้รวดแล้ว ในปจจุบันนี้แดท ถูกนำมาใช้ในการเปิดโฆษณาที่เรียกว่าสป็อต ทั้งนี้เพราะว่าสามารถหาดัชนีโฆษณาได้ง่ายโดยไม่ต้องมีระบบมอนิเตอร์ ทำให้ดีเจเพียงคนเดียวก็สามารถควบคุมรายการทั้งรายการได้โดยไม่ต้องใช้ผู้ควบคุมเสียง
6. คอนโซล เป็นเครื่องมือที่มีหน้าที่นำเอาสัญญาณต่าง ๆ ที่ส่งเข้ามา เช่นจากไมโครโฟน เทิร์นเทเบิ้ล สัญญาณภาพและเสียงจากเครื่องวีดีโอเทป จากฟิล์มโปรเจ็คเตอร์ และอื่นๆ เพื่อทำการขยายสัญญาณ ทำการบาลานซ์ ผสมเสียง และจัดระบบเสียงเพื่อการบันทึกหรือส่งออกอากาศเป็นเทปที่บันทึกเสียงในระบบดิจิตอลให้คุณภาพเสียงนเสียง จะมีการบันทึกเสียงลงในแผ่นเสียง เมื่อเวลาเล่นก
7. เครื่องช่วยเสียง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อการดัดรูปสัญญาณ ให้ต่างไปจากรูปแบบเดิม รวมไปถึงระบบปรุงแต่งเสียงออกมาตามความต้องการของผู้ควบคุมเสียงอุปกรณ์ทั่วไป ไปเป็นอุปกรณ์ช่วยเสียงได้แก่ อีควอไลเซอร์ ลิมิเตอร์-คอมเพรสเซอร์ รีเวิบร์-เครื่องทำเสียงก้อง และเอ็คโค่ เป็ต้น
8. ลำโพง เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดพลังงานไฟฟ้า อันมาจากเครื่องขยายสัญญาณเสียง เพื่อแปรสภาพพลังงานดังกล่าวเป็นพลังงานเสียงให้รับฟังได้

ห้องบันทึกเสียง (Studio or live room)
เป็นห้องที่ใช้ทำการบันทึกเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ที่ต้องใช้ไมโครโฟนในการเก็บเสียง เช่น บันทึกเสียงกลอง กีตาร์ เสียงร้อง ซึ่งต้องสามารถกันเสียงรบกวนจากภายนอกห้องให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะเก็บเสียงได้สะอาดที่สุดจากแหล่งกำเนิดเสียง ห้องนี้จะเน้นเรื่องความเป็นอะคูสติกของเสียงอย่างมาก เพื่อช่วยให้เสียงเครื่องดนตรีหรือเสียงร้องมีคุณภาพมากสมจริงมีการสะท้อนเสียงที่เหมาะสมและถูกต้อง

ห้องระบบมิดี้
การทำงานในห้องแบบมิติสตูดิโอนั้นสามารถสร้างเสียงได้อย่างมากมาย (ตามจำนวนซาวด์โมดูลที่มี) ด้วย ไม่จำเป็นต้องมีมิกเซอร์ที่มีแชนเนลมากมายเหมือนเมื่อก่อน หรือไม่ต้องใช้มิกเซอร์ภายนอกก็ได่แต่ใช้ที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ยังได้ และสามารถเก็บความจำของงานที่ทำไปได้อีกด้วยเพื่อวันต่อมาสามารถทำงานต่อได้เลยโดยไม่ต้องมาจัดเซ็ตอุปกรณ์หรือเลือกเสียงใหม่อีกครั้ง ทำให้เกิดความรวดเร็วและสะดวก ห้องระบบมิตินิยมใช้ควบคู่ไปกับเครื่องบันทึกในระบบดิจิตอลมากในปัจจุบันเพราะมีราคาถูกลง โปรดิวเซอร์ หรือนักดนตรีเริ่มหันมาใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก

เรื่อง คุณลักษณะของวิทยุในการสอนและการวิจัยที่เกี่ยวกับการใช้ วิทยุประกอบการสอน

รายการเพื่อการสอน เป็นรายการที่ผลิตขึ้นเพื่อการสอนตามหลักสูตรในระดับใดระดับหนึ่ง รายการมีลักษณะเป็นบทเรียน แบ่งเป็นตอน ๆ มีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ และมีการวัดผลการเรียนจากการชมรายการด้วย อาจจัดได้เป็น 3 ลักษณะคือ
- รายการทำหน้าที่สอนทั้งหมด เป็นรายการที่สอนเบ็ดเสร็จในตัว ทำหน้าที่แทนครู
- รายการทำหน้าที่สอนเนื้อหาหลัก เป็นรายการที่สอนเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหาสำคัญต้องอาศัยครูเป็นผู้คอยให้คำแนะนำ อธิบาย ขยายความ หรือให้ทำกิจกรรมเสริม
- รายการทำหน้าที่เสริมการสอน เป็นรายการที่จัดขึ้น เพื่อเสริมการสอนของครูให้สมบูรณ์ขึ้น เช่น การแสดงละคร การสาธิต หรือการประยุกต์ความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
รูปแบบการจัดรายการวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา
1) รายการสดที่จัดขึ้นในห้องส่ง แล้วถ่ายทอดออกอากาศโดยตรง รายการ ลักษณะนี้อาจมีข้อบกพร่องเกิดขึ้นได้
2) รายการถ่ายทอดสดจากภายนอก ส่วนมากเป็นภาพเหตุการณ์สำคัญซึ่งเกิดขึ้นในสังคม และประชาชนส่วนใหญ่สนใจ
3) รายการที่บันทึกเทปไว้ล่วงหน้า เฉพาะสำหรับรายการที่ต้องเตรียมการล่วงหน้า และต้องการควบคุมเพื่อป้องกันความผิดพลาด
4) รายการจากภาพยนตร์โทรทัศน์ ได้แก่ภาพยนตร์ข่าว บันเทิง สารคดี ฯลฯ ซึ่งนำมาฉายแพร่ภาพออกอากาศ
การวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงการนำภาษาพูดจากรายการวิทยุโทรทัศน์มาใชในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น และสำรวจความคิดเห็นของครูประจำชั้นเกี่ยวกับ การใช้ภาษาพูดในรายการวิทยุโทรทัศน์ของนักเรียนดังกล่าว ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 2,472 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2533 ของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น และครูประจำชั้นจำนวน 53 คน จากทั้งหมด 23 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียน 80 คน และครู 28 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจการชมรายการวิทยุโทรทัศน์ที่นักเรียนชอบดูเป็นประจำ และโฆษณาที่นักเรียนเห็นที่บ่อยที่สุด ก่อนบันทึกรายการดังกล่าวลงในเทปโทรทัศน์เพื่อนำไปศึกษาภาษาพูด นอกจากนี้ผู้วิจัยจึงได้สร้างแบบสัมภาษณ์นักเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของครูประจำชั้นเกี่ยวกับ การใช้ภาษาพูดในรายการวิทยุโทรทัศน์ของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (SPSS/PC+) เพื่อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละในการใช้ คำ สำนวนและข้อความโฆษณาในรายการวิทยุโทรทัศน์ ได้วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแบบสอบถามความคิดเห็นของครูประจำชั้น
ผลการวิจัยพบว่า
1. คำ กลุ่มคำ สำนวนและข้อความโฆษณาที่นักเรียนเคยได้ยินมากที่สุด ตามลำดับมีดังนี้ จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน หน้าแตกยับเยิน เพลงโฆษณาเอ็มร้อยและโค้ก สำหรับที่นำไปใช้พูดมากที่สุด ตามลำดับ ดังนี้ อย่าหนีนะ หน้าแตกยับเยินและเพลงโฆษณาเอ็มร้อยและที่นักเรียนนำไปใช้พูดกับพ่อแม่มากที่สุด ดังนี้ สวดมนต์ ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับและโค้กตามลำดับ ส่วนที่นำไปใช้พูดกับเพื่อนมากที่สุด ตามลำดับ ดังนี้ จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน ดูถูก หน้าแตกยับเยิน และเซเว่นอัพ และที่นำไปใช้พูดกับบุคคลอื่นมากที่สุด คือ สวดมนต์ หน้าแตกยับเยินและเบบี้ มายด์ ตามลำดับ ซึ่งบุคคลอื่นส่วนมากได้แก่ ญาติพี่น้อง นอกจากนี้ภาษาพูดที่นักเรียนเข้าใจความหมายมากที่สุด ได้แก่ จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน ขอบอกขอบใจ และโค้ก ตามลำดับ
2. ครูประจำชั้นมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ภาษาพูด ในรายการวิทยุโทรทัศน์ของนักเรียนที่อยู่ในระดับมาก คือนักเรียนได้รับคำศัพท์หรือสำนวนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และสามารถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดที่สื่อความหมายได้เข้าใจ มีการเน้นคำหรือใจความสำคัญการใส่อารมณ์และความรู้สึกลงไปในน้ำเสียง ตลอดจนการพูดที่ถูกกาลเทศะและบุคคลในส่วนที่วิทยุโทรทัศน์ทำได้ในระดับปานกลาง คือการพูดที่ถูกต้องชัดถ้อยชัดคำ การแบ่งวรรคตอนในการพูดที่ถูกต้องเหมาะสม การใช้ภาษาโลดโผน คำสแลง การสร้างคำหรือสำนวนใหม่ ๆ ที่ทำให้ภาษาวิบัติ การออกเสียงตัว ร ล และตัวควบกล้ำชัดเจน มีการส่งเสริมพัฒนาทางการพูดให้ถูกต้อง รวดเร็ว ทำให้นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์ได้อย่างมีเหตุผล ตลอดจนมีส่วนช่วยในการสื่อสารระหว่างนักเรียนกับนักเรียนหรือครูดีขึ้น
ความสำคัญของรายการวิทยุกระจายเสียง
วิทยุกระจายเสียงนับเป็นสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารายการโทรทัศน์ เนื่องจากการส่งข่าวสารความรู้ไปสู่ประชาชนได้ไกลกว่าและรวดเร็วกว่าสื่อมวลชนอื่นๆ แม้นในสถานที่ทุรกันดาร กอปรกับราคาเครื่องรับวิทยุมีราคาถูก น้ำหนักเบา ตามเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถเคลื่อนย้ายติดตัวไปได้ง่ายกว่าเครื่องรับโทรทัศน์ และขณะที่ฟังรายการก็สามารถปฏิบัติภารกิจอื่นได้ไปพร้อมๆกัน รายการวิทยุมีอิทธิพลในการโน้มน้าวความคิดเห็นให้คล้อยตามได้ง่าย เนื่องจากการเสนอจินตนาการที่กว้างไกลได้มากกว่าการดูรายการโทรทัศน์ที่ถูกจำกัดในเรื่องของภาพและฉาก

หลักการเขียนบทรายการวิทยุกระจายเสียง ประเภทข่าว
องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้การนำเสนอข่าวทางวิทยุกระจายเสียงมีความเหมาะสมกับ ผู้ฟังคือ “การเขียนบท” ซึ่งจะต้องเขียนให้สอดคล้องกับลักษณะและธรรมชาติของวิทยุกระจายเสียง โดยคำนึงถึงการใช้ภาษาและวิธีการเสนอที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะยึดหลักการเช่นเดียวกับการเขียนข่าวหนังสือพิมพ์ แต่วิทยุกระจายเสียงมีข้อจำกัดด้านเวลาจึงมักเขียนในลักษณะเน้นความนำ (lead) และเนื้อข่าว (body) ไว้รวมกัน และมีข้อควรคำนึงที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ
1. การเขียนข่าวเพื่ออ่านทางวิทยุกระจายเสียง ต้องกระจ่างชัด ฟังง่าย เข้าใจได้ง่าย ไม่สับสน วกวน หรือยืดยาว ประโยคแต่ละประโยคควรมีแนวความคิดเดียว เป็นประโยคสั้นๆ ที่มีความหมายจบในประโยคนั้น แต่เพื่อความน่าฟังควรจะสลับกับประโยคยาวบ้าง ตามแต่ความสำคัญของใจความ
2. หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดซ้ำๆ กัน คำที่มีเสียงคล้ายๆ กัน เพราะจะทำให้ฟังลำบาก ถ้า จำเป็นต้องใช้ให้หาคำอื่นที่มีความหมายอย่างเดียวกันแทน เพื่อช่วยให้ฟังได้ง่ายขึ้น
3. การยกข้อความหรือคำพูดของผู้ใดผู้หนึ่งมากล่าวในการเขียนข่าวทางวิทยุกระจายเสียงนั้น ผู้ฟังไม่สามารถทราบได้ว่าข้อความนั้นอยู่ในเครื่องหมายอัญประกาศ ดังนั้นจึงต้องเขียนให้ชัดเจนว่าคำพูดนั้นๆ ประโยคนั้นๆ เป็นคำพูดของใคร จึงควรถอดเครื่องหมายอัญประกาศออก แล้วเรียบเรียงประโยคเสียใหม่ เปลี่ยนสรรพนามจากบุรุษที่หนึ่งเป็นบุรุษที่สาม หรือเอ่ยชื่อบุคคลนั้นๆ ออกมาให้ชัดเจน
4. ไม่ควรประหยัดคำจนเกินไป เพราะอาจทำให้เข้าใจไขว้เขวได้ การใช้คำย่อย่อมไม่เป็นการอำนวยความสะดวกทั้งแก่ผู้อ่านและผู้ฟัง ผู้อ่านอาจอ่านผิดพลาดได้ง่าย ผู้ฟังก็อาจฟังผิดเพี้ยนสับสนได้ง่ายเช่นกัน ตัวย่อที่ใช้กันอยู่จนเป็นที่ยอมรับมักเป็นตัวย่อของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานที่ใช้ตัวย่อจนเป็นที่รู้จักดี และใช้กันจนเป็นที่รู้จักทั่วไปเท่านั้น
5. การเขียนชื่อเฉพาะ ชื่อที่อ่านยากๆ ศัพท์บางคำที่ไม่คุ้นตา ควรวงเล็บคำอ่านไว้ให้ ชัดเจน เช่น เสวก (สะ-เหวก) รังควร (รัง-คะ-วอน) เป็นต้น
6. การเขียนตัวเลขต้องเขียนให้ผู้อ่านไม่สับสน ตามหลักสากล เลขต่ำกว่า 10 เขียนเป็นตัวหนังสือ ยกเว้น วันที่ เลขที่บ้าน ลำดับที่ เวลา อายุ

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บทวิทยุกระจายเสียง หมายถึง ข้อความที่บอกกล่าว เล่าเรื่อง เหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดของรายการวิทยุกระจายเสียงตั้งแต่ต้นจนจบรายการอย่างมีลำดับขั้นตอน เพื่อใช้ถ่ายทอดด้วยเสียงให้ผู้ฟังจินตนาการเป็นภาพตรงตามวัตถุประสงค์ผู้บอกกล่าว ตลอดจนทำให้รายการดำเนินไปอย่างมีทิศทางตามขอบเขตเนื้อหา รูปแบบรายการที่กำหนดไว้ ความสำคัญของบทวิทยุกระจายเสียง เป็นสิ่งที่บอกเนื้อหาสาระ รูปแบบ ลำดับการนำเสนอ ตลอดจนรายละเอียด เป็นแนวทางให้ผู้ทำงานทราบว่าใคร จะทำอะไร เมื่อไร อย่างไร , เป็นการบอกล่วงหน้าให้ผู้ทำงานแต่ละหน้าที่ทราบว่าจะต้องทำอะไร เช่น ผู้ดำเนินรายการจะพูดอะไร เมื่อไร ผู้คุมเสียงจะเปิดเพลงอะไร และไว้เพื่อค้นคว้าได้

ประเภทของบทวิทยุกระจายเสียง แบ่งได้เป็น
1. บทโครงร่างรายการอย่างคร่าว ๆ (Rundown Sheet) เป็นบทที่บอกคิวการดำเนินการระหว่างการผลิตรายการตั้งแต่ต้นจนจบว่า ใครจะทำอะไร เมื่อไร อย่างไร บทแบบนี้จะไม่มีรายละเอียดของเนื้อหาและมักเป็นการใช้และเป็นที่เข้าใจเฉพาะผู้ร่วมงาน รายการที่ใช้บทแบบนี้ คือ รายการเพลง สารคดี สัมภาษณ์ นิตยสารทางอากาศ
2. บทวิทยุกระจายเสียงแบบกึ่งสมบูรณ์ (Semi-script) เป็นบทที่มีรายละเอียดของเนื้อหา ตามลำดับขั้นตอน มีคำพูดที่สำคัญ ๆ และเสียงที่ต้องการใช้ โดยมีบางส่วนที่เปิดกว้างไว้ไม่กำหนดรายละเอียดลงไป เช่น บรายการ สัมภาษณ์ สัมภาษณ์ อภิปราย นิตยสารทางอากาศ สารคดี
3. บทวิทยุกระจายเสียงแบบสมบูรณ์ (Fully Script) เป็นบทที่มีคำพูดทุกคำพูด เรียงลำดับตามขั้นตอน เช่น บทละคร บทโฆษณา รายการสารคดี นิตยสารทางอากาศ ข่าว บทความ

ส่วนประกอบของบทวิทยุกระจายเสียง
1. ส่วนหัว (Heading) จะบอกชื่อรายการ ชื่อเรื่อง / ตอน สถานีที่ออกอากาศ / ความถี่ วัน - เวลาที่ออกอากาศ
2. ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นรายละเอียดของเนื้อหา เรื่องราว ตามลำดับ เป็นส่วนที่บอกถึง ผู้เกี่ยวข้องในรายการว่าจะต้องทำอะไร
3. ส่วนปิดท้าย (Closing or Conclusion) เป็นส่วนสรุปเนื้อหา กล่าวขอบคุณผู้ร่วมรายการ

ความรู้ความสามารถของผู้ดำเนินรายการ
1. การใช้ภาษาที่ถูกต้อง
2. การพูด - อ่านออกเสียงที่ถูกต้อง การพูด - อ่านเพื่อคนฟัง การพูดเป็นการสื่อสารทางเดียว เพราะผู้ฟังไม่เห็นหน้า เพราะฉะนั้น เสียง ลีลาการอ่านต้องดึงดูดความสนใจผู้ฟังให้ได้
3. ความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ แสดงการสื่อความคิด ความหมาย
4. มีความรู้กว้างขวาง ใฝ่หาความรู้ ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ อย่างละเอียดทั้งในทางบวกและลบ เพื่อสามารถเปรียบเทียบแง่คิดต่าง ๆ ได้ ติดตามเหตุการณ์รอบตัวอยู่เสมอ
5. เข้าใจงานวิทยุกระจายเสียง รูปแบบ ประเภทของรายการ
6. มีความสามารถ เข้าใจในเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานพอสมควร

คุณสมบัติที่พึงมีของผู้ดำเนินรายการ
1. มีเสียงดี ชัดเจน
2. เชื่อมั่นในการพูดของตัวเอง ผู้ดำเนินรายการสามารถชนะใจผู้ฟังได้ด้วยน้ำเสียง เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความมั่นใจ มั่นคงและไม่ลังเล เพราะถ้าผู้ฟังจับได้ว่าผู้พูดไม่แน่ใจในสิ่งที่พูด ผู้ฟังก็ขาดความเลื่อมใสในรายการ
3. เอาใจใส่ผู้ฟัง เรียนรู้ความต้องการ รสนิยมผู้ฟัง ผู้พูดต้องสนใจผู้ฟังโดยศึกษาปฏิกริยาจากผู้ฟังทั้งในและนอกเวลาปฏิบัติหน้าที่และคิดหาเหตุผลว่าปฎิกริยาที่มีต่อเรา ต่อการทำงานของเราเป็นเพราะเหตุใด มีอะไรต้องแก้ไข ไม่ควรใช้ความชอบของตนเองวัดว่าคนอื่นต้องชอบ
4. มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี งานกระจายเสียงเป็นงานที่เกิดความผิดพลาดได้ง่ายจึงประมาทไม่ได้ดังนั้นถ้าเกิดความผิดพลาดต้องรีบแก้ไข ยอมรับ เช่น ถ้าอ่านผิด ต้องรีบขออภัยและแก้ไขโดยเร็ว 5. ใจเย็น ไม่ตื่นเต้นตกใจง่าย สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี
6. มีการตัดสินใจที่ดี
7. ใจกว้าง ยอมรับฟังคำติ – ชม ไม่โกรธ เพราะสิ่งต่าง ๆ นี้เป็นส่วนสำคัญของการปรับปรุงรายการและตัวเรา
8. ตรงต่อเวลา
9. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถปรับตัวและเข้ากับคนทุกชนชั้นทุกประเภททั้งในเวลา นอกเวลาทำงาน
10. มีอารมณ์ขัน ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ จำไว้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเงาสะท้อนอารมณ์ผู้พูดว่ามีอารมณ์เช่นไร
11. มีความกระตือรือร้น ทำงานให้ดีเรื่อย ๆ แสวงหา ความรู้ใหม่ ๆ ปรับปรุงวิธีการพูด ไม่กล่าวประโยคซ้ำๆ
12. การแสดงออกทางน้ำเสียง การเลือกใช้คำพูด รู้จักชม คนอื่นด้วย ไม่ยกตัว จริงใจต่อหน้าที่ อย่านึกถึงแต่รายได้
13. ความอดทน สามารถอดทนต่อความจำเจ การประกาศซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง ทุกวัน การซ้อมอ่านหลาย ๆ ครั้ง และต่อสภาพวุ่นวายในการทำงาน
14. สุขภาพร่างกายและจิตใจดี รักษาอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง เพราะต้องพร้อมต่อการปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกเวลา
15. มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ต้องรู้ว่าพูดกับใครและคิดด้วยว่าพูดอย่างนี้เขาจะรู้สึกอย่างไร จะสนใจไหม
16. เป็นพลเมืองที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้ฟัง
17. มีความสามารถในการทำงานเป็นทีม จะทำให้งานรวดเร็วและประสานกัน ส่งผลต่อ ความสำเร็จของงาน
18. มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน รับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้นจากการพูดของเรา รับผิดชอบต่อผู้ฟังของเรา
19 มีความสุภาพด้านการใช้ภาษาพูด เสียงที่สุภาพ กริยาอาการ เหล่านี้เกิดจากการสำรวมความคิด อารมณ์ และการพูดคุยที่ถูกกาลเทศะ
20. มีสายตาที่ว่องไวและแน่นอน สามารถอ่านและดูเวลาไปพร้อม ๆ กันได้

การดำเนินงาน จะมีลักษณะเป็นรูปแบบรายการใดรูปแบบรายการหนึ่งชัดเจน เช่น รูปแบบรายการเพลง รูปแบบรายการข่าว
ผู้ผลิตรายการหรือผู้ควบคุมการผลิตจะรับผิดชอบรายการในช่วงเวลาหรือประเภทรายการ
สิ่งที่ควรทราบก่อนในเบื้องต้นเพื่อวางแผนการผลิตรายการ คือ
1. วัตถุประสงค์และนโยบายของสถานีและบริษัทผู้ผลิตรายการ
2. ผู้ฟังเป้าหมาย
3. สถานี เวลาออกอากาศ ความยาวรายการ
4. ทรัพยากรที่มีอยู่ของสถานีหรือบริษัท ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์ ระยะเวลา
5. ศึกษาตัวอย่างที่ดี เพื่อนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับรายการ หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจ
6. วางแผนการผลิตรายการ
6.1 กำหนดวัตถุประสงค์รายการ เพื่อให้การผลิตรายการเป็นที่ต้องการว่าจะมุ่งนำเสนออะไรแก่ผู้ฟัง 6.2 กำหนดโครงร่างของรายการ ได้แก่ เนื้อหา ประเด็นของเนื้อหา รูปแบบรายการ
แขกรับเชิญ /วิทยากร
6.3 เขียนบท ผู้เขียนบทจะนำแนวคิดและประเด็นคร่าว ๆ หรือโครงร่างของรายการที่ได้รับจากผู้ผลิตรายการ ไปสร้างจินตนาการและเรียบเรียงออกมาเป็นข้อความ ( คำพูด ) เสียงเพลง เสียงประกอบต่าง ๆ ตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนบท โดยการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่
- แหล่งข้อมูลบุคคล เช่น นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
- แหล่งข้อมูลเอกสารและสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ เทปเสียง อินเทอร์เน็ต
- แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เช่น สถานที่เกิดเหตุ สถานที่ในท้องเรื่อง ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มานี้จะนำมาวางโครงร่างของบทว่า ในรายการมีเรื่องหรือประเด็นอะไร ลำดับเนื้อหาอย่างไร มีวิธีการนำเสนออย่างไร แต่ละช่วงรายการมีความยาวเท่าไร จากนั้นจึงเขียนบท
6.4 การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์รายการ เมื่อได้บท ข้อมูล ประเด็นคำถามหรืออื่น ๆ พร้อมแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาอีกว่า ต้องใช้วัสดุรายการอะไร ควรเตรียมให้พร้อมก่อนการผลิตรายการ ดนตรี เสียงประกอบ เทปเสียงที่ต้องการใช้ ไมโครโฟนที่เหมาะสมกับงาน การสำรองวัสดุที่ใช้ในการบันทึกเสียงและการตัดต่อเทป การเตรียมเทปแทรก (Insert Tape) ในรายการสารคดี นิตยสารทางอากาศ สัมภาษณ์ มักใช้การบันทึกเสียงนอกสถานที่มาประกอบในรายการ เทปเหล่านี้ถ้ามีความยาวมากไปหรือไม่สมบูรณ์จะต้องนำมาตัดต่อให้ได้เนื้อหาที่ต้องการ ภายในเวลาที่กำหนด การเตรียมเทปแทรกควรบันทึกลงในเทปเสียง แยกเป็นแต่ละส่วนไว้ เพื่อใช้งานได้สะดวก โดยเขียนบอกรายละเอียดไว้ในบทด้วยว่า เทปนี้เป็นเรื่องอะไร เสียงของใคร ขึ้นต้นด้วยข้อความ / คำพูดอะไร ลงท้ายด้วยข้อความ / คำพูดอะไร
6.5 การประสานงานบุคลากร โดยเฉพาะกับแขกรับเชิญหรือวิทยากร ต้องติดต่อล่วงหน้า นัดหมายเวลา สถานที่ที่จะบันทึกเสียง กรณีรายการสด หากแขกรับเชิญหรือผู้ร่วมรายการไม่สามารถมาออกอากาศได้จะต้องทำเทปล่วงหน้าหรือไม่ หรือต้องเปลี่ยนผู้ร่วมรายการ หรือต้องเปลี่ยนประเด็นที่จะเสนอหรือไม่
6.6 จองห้องบันทึกเสียง กรณีเป็นรายการเทป
7. ขั้นการซักซ้อม (Rehearsal) การซ้อมเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิตรายการ โดยเฉพาะผู้ดำเนินรายการ ผู้อ่านข่าว ผู้แสดงละครวิทยุ ต้องซ้อมการอ่านบท เพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหา ประเด็นคำถาม เรื่องราว อารมณ์ของบท ไม่ว่ารายการประเภทใดหากได้ซ้อมก่อนย่อมสร้างความมั่นใจในการทำงานทั้งสิ้น


วัตถุประสงค์การซ้อม
1. เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการพูด ไม่ประหม่า ตื่นกลัว
2. เกิดความราบรื่น ไม่ผิดพลาดบ่อย ๆ ทำให้เกิดความน่าฟัง ไม่เสียอารมณ์
3. เป็นการตรวจสอบการอ่าน ได้แก่ คำยาก คำเฉพาะ การแบ่งวรรคตอน
4. ทำให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหา เรื่องราวและอารมณ์ของบทหรือตัวละคร โดยใช้ลีลา น้ำเสียงจังหวะวรรคตอน ทำให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ผู้เขียนบท

ประเภทของการซ้อม
1. การซ้อมอ่านบท (Script Reading) เป็นการทำความเข้าใจเนื้อหา การอ่านออกเสียง การแบ่งวรรคตอน การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก บรรยากาศอย่างถูกต้อง การซ้อมอ่านบทยังเป็นการตรวจความถูกต้องของภาษาและข้อมูลได้อีกขั้นหนึ่ง เนื่องจากเคยปรากฏเสมอว่า บทที่เขียนมายังขาดความถูกต้องหรือบทไม่มีความชัดเจน เช่น การส่งโทรสารหรือเป็นความผิดพลาดจากผู้เขียนบทเองก็ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นรายการประเภทใด หากได้ซ้อมอ่านบทก่อนย่อมสร้างความมั่นใจในการทำงานทั้งสิ้นยิ่งปัจจุบันการนำเสนอรายการส่วนใหญ่เป็นรายการสด ความถูกต้องของข้อมูลต้องตรวจสอบเป็นอย่างดี
2. การซ้อมแห้ง (Dry Run) เป็นการซ้อมคิวหรือกำหนดคิวว่าใครจะทำอะไรก่อนหลังอย่างไร การซ้อม ฟังความถูกต้อง การซ้อมจับเวลาบท การซ้อมแบบนี้มักไม่ใช้อุปกรณ์การผลิตใด ๆ
3. การซ้อมกับไมโครโฟน (Microphone Rehearsal) เป็นการซ้อมที่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น ไมโครโฟนในห้องบันทึกเสียง เพื่อตั้งระดับความดัง - เบาของเสียงให้เหมาะสม หรือการซ้อมไปพร้อมการใส่ดนตรี เสียงประกอบ อย่างไรก็ตามแต่ละรายการมีความต้องการการซ้อมในระดับที่ต่างกัน นอกจากนี้หากรายการที่มีความยุ่งยาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตควรซ้อมการวางคิวเสียง วัสดุประกอบรายการต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนการออกอากาศ

เครื่องส่งวิทยุระบบเอเอ็มและเอฟเอ็มนั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นมอดดูเลเตอร์ ซึ่งเป็นวงจรที่นำ เอาสัญญาณข้อมูลไปมอดดูเลตตัวพา ผลที่ได้จะเป็นสัญญาณเอเอ็มหรือเอฟเอ็ม ที่มีความถี่ศูนย์กลางอยู่ที่ ความถี่ของตัวพา หลังจากนั้นจะถูกขยายให้มีกำลังสูงเท่าที่ต้องการ แล้วจึงส่งสัญญาณไปยังเสาอากาศ เพื่อให้แผ่กระจายเป็นคลื่นวิทยุออกไป เครื่องรับวิทยุเอเอ็มและเอฟเอ็มที่มีขายในท้องตลาดจะเป็น เครื่องรับที่เรียกว่า ระบบซูเปอร์เฮตเทอโรไดน์ (superheterodyne) โดยมีหลักการทำงานอย่างคร่าวๆ ดัง ต่อไปนี้
ส่วนแรกของเครื่องรับคือ เสาอากาศ ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงคลื่นวิทยุเป็นสัญญาณไฟฟ้าปกติสัญญาณนี้จะ อ่อนมาก สัญญาณที่ได้รับจะอ่อนลงถ้าระยะทางจากเครื่องส่งเพิ่มขึ้น เสาอากาศนี้จะรับคลื่นวิทยุจำนวน มากมายที่อยู่ในอากาศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีการกรองเอาสัญญาณที่ไม่ต้องการออก เพื่อที่เครื่อง รับจะได้เลือกเฉพาะสถานีวิทยุที่ต้องการ วิธีการกรองจะใช้เทคนิคที่ขยับความถี่ของสถานีที่ต้องการไปยังความถี่ที่คงตัวค่าหนึ่ง ความถี่คง ตัวนี้เรียกว่า ความถี่ไอเอฟ (IF ย่อมาจาก intermediate frequency) ระบบเอเอ็มจะใช้ความถี่ ๔๕๕ กิโลเฮิรตซ์ และระบบเอฟเอ็มจะใช้ความถี่ ๑๐.๗ เมกะเฮิรตซ์ แล้วจึงผ่านวงจรกรองหรือฟิลเตอร์ที่ปล่อย ให้ความถี่ไอเอฟและใกล้เคียงผ่านได้เท่านั้น วงจรกรองนี้เรียกว่าไอเอฟฟิลเตอร์ วงจรที่ทำหน้าที่ขยับ ความถี่นั้นเรียกว่า วงจรมิกเซอร์ (mixer) ซึ่งทำการคูณสัญญาณที่รับเข้ามากับสัญญาณไซน์ที่สร้างขึ้น ในเครื่องรับ ความถี่ของสัญญาณไซน์ จะมีค่าเท่ากับความถี่ของสถานีที่ต้องการ บวกกับ ๔๕๕ กิโลเฮิรตซ์ (หรือ ๑๐.๗ เมกะเฮิรตซ์กรณีเป็นเอฟเอ็ม) ดังเช่น ถ้าต้องการรับสถานีวิทยุเอเอ็มความถี่ ๖๕๐ กิโลเฮิรตซ์ ผู้ฟังก็จะปรับปุ่มเลือกสถานีบนเครื่องรับจนหน้าปัดบอกว่า ๖๕๐ กิโลเฮิรตซ์ ปุ่มนี้เองจะ ไปเปลี่ยนความถี่ของวงจรกำเนิดสัญญาณไซน์ ให้สร้างความถี่ที่ ๖๕๐ + ๔๕๕ = ๑,๑๐๕ กิโลเฮิรตซ์วงจร มิกเซอร์จะทำหน้าที่คูณสัญญาณความถี่ ๑,๑๐๕ กิโลเฮิรตซ์ กับสัญญาณที่เข้ามาจากเสาอากาศ ผลของการคูณ สองสัญญาณเข้าด้วยกันจะทำให้เกิดสัญญาณสองสัญญาณ สัญญาณที่หนึ่งจะมีความถี่เท่ากับผลต่างของความถี่ ของสัญญาณทั้งสอง สัญญาณที่สองจะมีความถี่เท่ากับผลบวกของความถี่ของสัญญาณทั้งสอง

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จุดประสงค์ของการใช้ระบบวิทยุก็คือ การส่งข้อมูลหรือข่าวสารระหว่างจุดสองจุดที่ไม่มีสายตัวนำต่อ เชื่อมกัน การส่งสัญญาณข้อมูลโดยคลื่นวิทยุนั้นจำเป็นจะต้องใช้ตัวพา (Carrier) โดยที่สัญญาณข้อมูลจะ ขี่บนตัวพาไป ตัวพามักจะใช้สัญญาณรูปไซน์ (sinusoidal signal) ซึ่งเขียนได้เป็น Asin (๒(...)ft + ๐) โดยที่ A คือ แอมปลิจูดบอกถึงความแรงของสัญญาณ f เป็นความถี่ และ ๐ คือ เฟส (phase) ขบวนการที่ทำให้ ข้อมูลขี่บนตัวพานั้นเรียกว่า มอดดูเลชั่น (modulation) หรือการมอดดูเลต ซึ่งกระทำได้สามวิธีคือ มอดดูเลชั่นบนแอมปลิจูด (Amplitude Modulation) หรือเอเอ็ม (AM) มอดดูเลชั่นบนความถี่ (Frequency Modulation) หรือเอฟเอ็ม (FM) และมอดดูเลชั่นบนเฟส (Phase Modulation) หรือพีเอ็ม (PM) ในระบบ เอเอ็มนั้น สัญญาณข้อมูลจะขี่บนแอมปลิจูดของตัวพา กล่าวคือ แอมปลิจูดของตัวพาจะมีค่าเปลี่ยนไปตามค่า ของสัญญาณข้อมูลและในระบบเอฟเอ็มนั้น สัญญาณข้อมูลจะขี่ไปบนความถี่ของตัวพา กล่าวคือ ความถี่ของตัว พาจะมีค่าแปรเปลี่ยนไปตามค่าของสัญญาณข้อมูล ส่วนระบบพีเอ็มนั้นเฟสของตัวพาจะแปรเปลี่ยนตามค่าของ สัญญาณข้อมูล ระบบเอฟเอ็มและพีเอ็มมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดเนื่องจากความถี่และเฟสมีความเกี่ยว ข้องกัน สถานีวิทยุกระจายเสียงต่างๆ และสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ จะใช้ความถี่ของตัวพาที่แตกต่างกันออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณรบกวนกัน เมื่อสถานีวิทยุกระจายเสียงประกาศว่ากระจายเสียงด้วยความถี่ ๘๙.๕ เมกะเฮิรตซ์ หมายความว่า ตัวพานั้นใช้ความถี่ ๘๙.๕ เมกะเฮิรตซ์ วิทยุกระจายเสียงปัจจุบันจะเป็นแบบ เอเอ็มหรือเอฟเอ็ม

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552


สมัครเรียน โรงเรียนช่างฝีมือทหารโรงเรียนช่างฝีมือทหาร รับนักเรียนช่างปี 52

โรงเรียนช่างฝีมือทหาร เป็นสถานศึกษาสังกัดกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เปิดหลักสูตรการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ



1.นชท. ภาคปรกติ (ปวช.) เป็นนักเรียนอยู่ประจำ เมื่อสำเร็จการศึกษาต้องเข้ารับราชการทหาร เปิดสอน 6 สาขาวิชาชีพช่าง

2.นชท.ภาคสมทบ (ปวช.) เป็นนักเรียนไป-กลับ เมื่อสำเร็จการศึกษาจะไม่มีข้อผูกพันกับทางราชการ เปิดสอน 6 สาขาวิชาชีพช่าง

3.นชท.ภาคสมทบ (ปวส.) เป็นนักเรียนไป-กลับ เมื่อสำเร็จการศึกษาจะไม่มีข้อผูกพันกับทางราชการ

สาขาวิชาที่เปิดสอนระดับ ปวช.

1.วิชาชีพช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล (ชบ.) [Maintenance Trade] [MT] ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนแบบซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล แบบวงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น งานบำรุงรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลในโรงงาน งานตรวจสอบและปรับเปลี่ยนชิ้นส่วน
ของเครื่องจักรกล งานติดตั้งเครื่องจักรกล ระบบปั๊มและท่อ ระบบเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ ประกอบและติดตั้งทดสอบสมรรถนะของเครื่องจักรกล รวมทั้งสร้างชิ้นส่วนตามแบบที่กำหนด


2.วิชาชีพช่างเครื่องมือกล (ชก.) [Mechanic Trade] [MN] ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับงานเครื่องมือกลทุกชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น งานกลึงขึ้นรูป งานกลึงเกลียว งานกลึงโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ งานกลึงด้วยเครื่องกลึงอัตโนมัติ งานกัด งานไส งานเจียระไน งานเจาะ งานคว้าน งานอบชุบ งานวัดละเอียด งานเครื่องมือกลในการผลิตชิ้นส่วนของเครื่องจักรกล งานแม่แบบสำหรับงานผลิตต่าง ๆ ตามแบบที่กำหนด รวมทั้งงานวิเคราะห์หาสาเหตุข้อบกพร่อง และการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรกล


3.วิชาชีพช่างเชื่อมโลหะ (ชล.) [Welding Trade] [WD] ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับงานเชื่อมอาร์คโลหะด้วยมือ งานเชื่อมโลหะด้วยแก๊ส งานเชื่อมประสาน งานเชื่อมโลหะต่าง ๆ ด้วยเครื่องเชื่อมชนิดอัตโนมัติ งานเชื่อมมิก งานเชื่อมพลาสติก งานโลหะแผ่น งานระบบท่อภาย
ในอาคาร งานติดตั้งเครื่องสุขภัณฑ์ งานเชื่อมท่อแรงดัน งานผลิตโครงสร้างเหล็ก งานประกอบผลิตภัณฑ์ด้วยโลหะประเภทต่าง ๆ งานตรวจสอบแนวเชื่อม งานทดสอบแนวเชื่อม งานบัดกรีแข็ง งานอบชุบโลหะ งานโครงสร้าง
อะลูมิเนียม รวมทั้งงานเชื่อมและตัดใต้น้ำ


4.วิชาชีพช่างยานยนต์ (ชย.) [Auto Mechanic Trade] [AM] ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการประกอบ ติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมบำรุงรักษาเครื่องยนต์แก๊สโซลีน เครื่องยนต์ดีเซล ระบบส่งกำลังรถยนต์ เครื่องล่างรถยนต์ ไฟฟ้ารถยนต์ ระบบปรับอากาศในรถยนต์ งานเครื่องยนต์เล็ก
งานจักรยานยนต์ งานเคาะตัวถังและงานสีรถยนต์ งานกู้ซ่อม การขับขี่ยานยนต์ และการบำรุงรักษารถยนต์ตามคู่มือ


5.วิชาชีพช่างไฟฟ้ากำลัง (ชฟ.) [Electric Power Trade] [EP] ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับพื้นฐานช่างไฟฟ้ากำลัง งานไฟฟ้าภายในอาคาร งานไฟฟ้าภายนอกอาคาร ไฟฟ้าอุตสาหกรรม ตรวจซ่อมบำรุงเครื่องจักรไฟฟ้า งานซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในอาคารและสำนักงาน เครื่อง
กำเนิดไฟฟ้า หม้อแปลงงาน ซ่อมบำรุงรักษาและทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้า งานควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยโปรแกรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ งานเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ


6.วิชาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์ (ชอ.) [Electronic Trade] [EN] ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจซ่อม ปรับแต่ง ติดตั้ง ตลอดจนบำรุงรักษาอุปกรณ์เครื่องควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ งานสื่อสารโทรคมนาคม งานระบบภาพ ระบบเสียง งานโทรทัศน์วงจรปิด งานโทรทัศน์สี-ขาวดำ
งานระบบวิดีทัศน์ งานคอมพิวเตอร์ งานแบบติดตั้งและทดสอบงานอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรม



คุณสมบัติของผู้สมัคร (ปวช.) ภาคปรกติ

1.สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) (คะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00)

2.เป็นชายโสด อายุ 15-18 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ 1 เมษายน ของปีที่จะเข้ารับการศึกษา

3.มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด บิดา มารดา เป็นสัญชาติไทย



สิทธิ์และเงื่อนไขระหว่างเรียน

1.ได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 87 บาท

2.วัสดุฝึกทางโรงเรียนจัดหาให้

3.มีประกันชีวิต

4.เป็นนักเรียนอยู่ประจำ (ทางโรงเรียนมีหอพักให้)



เมื่อสำเร็จการศึกษา

1.ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)

2.ทางราชการจะบรรจุเข้ารับราชการทหารในหน่วยราชการ สังกัดกระทรวงกลาโหม

3.ได้รับเงินเดือนและเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวรวมประมาณ 8,200 บาท

คุณสมบัติของผู้สมัคร (ปวช.) ภาคสมทบ

1.สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)

2.เป็นชายโสด/หญิงโสด อายุไม่เกิน 22 ปี

3.มีสัญชาติไทย

4.ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา

5.ไม่เคยถูกไล่ออกหรือให้ออกจากสถานศึกษาอื่น

6.ไม่เป็นผู้อยู่ระหว่างเป็นจำเลยในคดีอาญา และไม่เคยต้องคำพิพากษาโทษจำคุก หรือความผิดอันกระทำโดยประมาท



สิทธิ์ที่จะได้รับ

1.มีเรียนและฝึกวิชาทหาร (รด.)

2.ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เมื่อสำเร็จการศึกษา และสามารถศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในสถาบันอื่นได้

3.สำเร็จการศึกษาแล้วไม่ได้รับการบรรจุเป็นราชการทหาร



สาขาวิชาที่เปิดสอนระดับ ปวส.

1.วิชาช่างเทคนิคยานยนต์

2.วิชาช่างอุตสาหกรรมการผลิต

3.วิชาช่างเครื่องกลไฟฟ้า

4.วิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรม



คุณสมบัติของผู้สมัคร (ปวส.)

1.สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาชีพ หรือเทียบเท่าตามความต้องการของแต่ละสาขาวิชาช่างกำหนด ดังนี้

1.1 สาขาวิชาช่างเทคนิคยานยนต์ -สำเร็จการศึกษา ปวช. สาขาวิชาชีพ หรือเทียบเท่า สาขาวิชาเครื่องกล สาขาวิชาช่างยนต์ สาขาวิชาช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล สาขาวิชาชีพช่างยานยนต์ สาขาวิชาชีพช่างเครื่องกลอุตสาหกรรม สาขาวิชาชีพช่างเครื่อง
กลเกษตร

1.2 สาขาวิชาช่างอุตสาหกรรมการผลิต -สำเร็จการศึกษา ปวช. สาขาวิชาชีพ หรือเทียบเท่า สาขาวิชาเครื่องกล สาขาวิชาเครื่องมือกลและซ่อมบำรุง สาขาวิชาโลหะการ สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาช่างต่อเรือ สาขาวิชาช่างยนต์ สาขาวิชาช่างกล
โรงงาน สาขาวิชาช่างซ่อมบำรุง สาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง สาขาวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาชีพช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล สาขาวิชาชีพช่างเครื่องมือกล สาขาวิชาชีพช่างเชื่อมโลหะ สาขาวิชาชีพช่างยานยนต์ สาขาวิชาชีพช่างเครื่องกลอุตสาหกรรม สาขาวิชาชีพช่างเครื่องกลเกษตร สาขาวิชาชีพช่างไฟฟ้ากำลัง สาขาวิชาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาชีพช่างท่อและโลหะแผ่น สาขาวิชาชีพช่างเชื่อมประสาน

1.3 สาขาวิชาช่างเครื่องกลไฟฟ้า -สำเร็จการศึกษา ปวช. สาขาวิชาชีพ หรือเทียบเท่า สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานไฟฟ้ากำลัง สาขาวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขาวิชาชีพช่างไฟฟ้ากำลัง

1.4 สาขาวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรม -สำเร็จการศึกษา ปวช. สาขาวิชาชีพ หรือเทียบเท่า สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาชีพช่างไฟฟ้ากำลัง สาขาวิชาชีพช่าง
อิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาชีพช่างไฟฟ้า 2.มีความประพฤติเรียบร้อย 3.มีร่างกายแข็งแรง และเหมาะสมในการเรียนวิชาช่างนั้น ๆ 4.ถ้าหากเป็นข้าราชการ หรือลูกจ้าง (ต้องมีหนังสือรับรองจากต้นสังกัดอนุญาตให้มาสมัครได้)





กำหนดการรับสมัคร 1.จำหน่ายระเบียบการ ประมาณวันที่ 15 ธันวาคม 2551-10 กุมภาพันธ์ 2552 ที่โรงเรียนช่างฝีมือทหาร 2.รับสมัครทางไปรษณีย์ ประมาณวันที่ 17 ธันวาคม 2551-22 มกราคม 2552 3.สมัครด้วยตนเอง ประมาณวันที่ 4-10 กุมภาพันธ์ 2552
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ซ.พหลโยธิน 30 (อาลาดิน) แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร.0-2511-0117, 0-2930-3480 ในเวลาราชการ



ครูในฝันรุ่นแรกเตรียมปฏิบัตงาน ทุกคนได้ครองตำแหน่งทั้งหมด


นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวในการเปิดการประชุมสัมมนาเพื่อเตรียมการบรรจุนักศึกษาทุนโครงการผลิต ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับปริญญาตรี (หลักสูตร 5 ปี) รุ่นปีการศึกษา 2547 ว่า การดำเนินโครงการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับปริญญาตรี (หลักสูตร 5 ปี) ที่ผ่านมามีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมเป็นสถาบันผลิตครูในโครงการฯ จำนวน 50 แห่ง สามารถรับนักศึกษาทุนได้จำนวน 2,139 คน ใน 8 กลุ่มสาขาวิชา คือ 1) สาขาคณิตศาสตร์ 2) สาขาวิทยาศาสตร์ 3) สาขาภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วยภาษาอังกฤษและภาษาจีน 4) สาขาภาษาไทย 5) สาขาสังคมศึกษา 6) สาขานาฏศิลป์/ดุริยางคศิลป์/ศิลปศึกษา 7) สาขาการศึกษาปฐมวัย และ 8) สาขาการศึกษาพิเศษ ซึ่งเมื่อสิ้นปีการศึกษา 2550 พบว่า นักศึกษาที่ยังคงสภาพผู้รับทุนการศึกษา มีจำนวน 2,041 คน คิดเป็นร้อยละ 95.42 ของจำนวนผู้รับทุน เนื่องจากนักศึกษาที่รับทุนต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยในแต่ละปีการศึกษาไม่ต่ำ กว่า 2.75ครูในฝันรุ่นแรกเตรียมปฏิบัตงาน ทุกคนได้ครองตำแหน่งทั้งหมด
" การดำเนินงานที่ผ่านมา สกอ. ได้ประสานงานและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครู ตั้งแต่การผลิตครู การพัฒนาครู การควบคุมวิชาชีพครู และการบริหารงานบุคคลครู เพื่อร่วมกันสร้างครูรุ่นใหม่ที่มีความรู้ลึกซึ้งทางวิชาการ มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ และมีจิตวิญญาณความเป็นครู ให้กับระบบการศึกษาของประเทศ โดยออกแบบหลักสูตรการผลิตครูรุ่นใหม่ที่ใช้เวลาในการศึกษา 5 ปี ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพครูที่คุรุสภากำหนด เพื่อให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา สามารถได้รับใบประกอบวิชาชีพครู สร้างกระบวนการคัดเลือกที่สามารถดึงคนดีคนเก่งเข้ามาเรียนครู พร้อมทั้งจัดกิจกรรมเสริมเพื่อสร้างทักษะความเป็นครู และการอยู่ร่วมกันในสังคมตลอดระยะเวลาของการศึกษา นอกจากนี้นักศึกษาทุนที่สำเร็จการศึกษาตามเงื่อนไขของโครงการฯ มีตำแหน่งรองรับและพร้อมที่จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. " เลขาธิการ กกอ. กล่าว
เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อว่า ในการเตรียมบรรจุนักศึกษาทุน สกอ. ได้ประสานกับ สพฐ. เพื่อเตรียมอัตราการบรรจุนักศึกษาทุนโครงการฯ ซึ่งขณะนี้ สพฐ. ได้จัดเตรียมอัตราเกษียณอายุราชการที่ได้กลับคืนมาเป็นอัตราการบรรจุนัก ศึกษาทุนทุกคนแล้ว ดังนั้น เพื่อซักซ้อมความเข้าใจแนวทางการบรรจุนักศึกษาทุนเพื่อเข้ารับราชการครูใน สถานศึกษาสังกัด สพฐ. และเพื่อให้นักศึกษาทุนรับทราบเส้นทางความก้าวหน้าวิชาชีพครู ตามกฎระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนสร้างเครือข่ายนักศึกษาทุนโครงการฯ ร่วมใจกันพัฒนาวิชาชีพครูให้มีคุณภาพที่ดีในอนาคต จึงอยากขอให้ นักศึกษาทุน ที่จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการครู นำความรู้ความสามารถที่รับและประสบการณ์ตลอดระยะเวลา 5 ปี ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ พัฒนาการปฏิบัติงานในสถานศึกษา ชุมชน และสังคมที่ไปอยู่ รวมทั้ง ร่วมพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศให้มีคุณภาพ เป็นครูรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญเชิงวิชาการ มีคุณภาพ มีจิตวิญญาณความเป็นครู และมีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป









สกศ. วางแนวทางปฏิรูปการศึกษายก2 ตั้งสถาบันครุศึกษา

นายธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) แถลงเรื่องการปฏิรูปการศึกษารอบสอง เมื่อวันที่ 1 เมษายน ว่า ได้ข้อสรุปไว้ว่าจะดำเนินการ 3 เรื่อง คือ 1.ยกคุณภาพคนไทยยุคใหม่ ที่มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งแต่ปฐมวัยเป็นต้นไป

2.มีระบบบริหารจัดการใหม่ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของเอกชนและทุกภาคส่วน และ

3.มีครูยุคใหม่ ทั้งครูรุ่นใหม่และครูเก่าที่จะเป็นผู้เอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ โดยมีข้อเสนอเบื้องต้นที่จะนำไปสู่ 3 เป้าหมายใหม่ คือ จัดตั้งสถาบันครุศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาครู รวมทั้งตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมไปถึงการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อการบริหารจัดการแนวใหม่ ข้อเสนอดังกล่าวจะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 21 เมษายนนี้ เพื่อสรุปเสนอคณะกรรมการ สกศ.ในเดือนพฤษภาคม

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ในการจัดการเรียนการสอนครูจำเป็นต้องใช้กระบวนการเรียนการสอน เพื่อทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจให้มากที่สุด


1.กระบวนการความคิดรวบยอด
1. สังเกต2. จำแนกความแตกต่าง3. หาลักษณะร่วม4. ระบุชื่อกับความคิดรวบยอด5. ทดลองนำไปใช้

2.กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
1. สร้างความคิดรวบยอด2. การอธิบาย3. การรับฟัง 4. การเชื่อมโยงความสัมพันธ์5. วิเคราะห์ วิจารณ์

6. สรุป

3.กระบวนการฝึกปฏิบัติ
1. สังเกตและรับรู้2. ทำตามแบบ3. ทำเองโดยไม่มีแบบ4. ฝึกให้เกิดความชำนาญ

4.กระบวนการสร้างเจตคติ
1. สังเกต2. วิเคราะห์ 3. สรุป

5.กระบวนการสร้างค่านิยม
1. สังเกต2. วิเคราะห์3. เลือกกำหนดเป็นค่านิยม4. เห็นคุณค่าและนำไปปฏิบัติ5. สรุปเป็นค่า่นิยม

6.กระบวนการกลุ่ม
1. การมีผู้นำกลุ่ม2. กำหนดจุดประสงค์3. แสดงความคิดเห็น4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ

7.กระบวนการความรู้ความเข้าใจ
1. สังเกต สร้างความตระหนัก2. วางแผนปฏิบัติ3. ลงมืือปฏิบัติ4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ5. สรุปสาระสำคัญ

8.กระบวนการสร้างความตระหนัก
1. สังเกตุ2. วิจารณ์3. สรุป

9.กระบวนการแก้ปัญหา
1. สังเกต2. วิเคราะห์3. สร้างทางเลือก4. การเก็บรวบรวมข้อมูล5. สรุป

10.กระบวนการทางคณิตศาสตร์
1. ทำความเข้าใจโจทย์ปัญหา2. กำหนดวิธีแก้โจทย์ปัญหา3. หาคำตอบโดยคิดคำนวณ

11.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
1. กำหนดปัญหา2. ตั้งสมมุติฐาน3. ทดลองหรือเก็บข้อมูล4. วิเคระาห์ข้อมูล5. สรุปผล

12.กระบวนการเฉพาะทางภาษาศาสตร์
1. ทำความเข้าใจสัญลักษณ์2. สร้างความคิดรวบยอด3. สื่อความหมาย ความคิด4. พัฒนาความสามารถ

13.กระบวนการเรียนการสอน 9 ประการ
1. ตระหนักในปัญหาและความจำเป็น2. คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ 3. สร้างทางเลือกหลากหลาย4. ประเมินผลเลือกทางเลือก5. วางแผนการปฏิบัติ 6. ปฏิบัติอย่างชื่นชม7. ประเมินระหว่างปฏิบัติ8. ปรับปรุงแก้ไข

9. ประเมินผลรวมให้เกิดความภาคภูมิใจ



ที่มา http://school.obec.go.th/banbungnajan/process.htm

สพฐ.เตรียมบรรจุนักศึกษาทุนครูหลักสูตร 5 ปี กว่า 2 พันคน ลงร.ร.ในพื้นที่ภูมิลำเนาของเจ้าตัว พร้อมเปิดสอบครูในปีนี้อีก 24 เขตพื้นที่การศึกษา เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2552 คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เตรียมบรรจุนักเรียนทุนโครงการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับปริญญาตรี หลักสูตร 5 ปี รุ่นแรกที่เพิ่งจบการศึกษาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เข้าเป็นครูประจำสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอบ้านเกิดของเจ้าตัว ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขผูกผันของโครงการนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้สำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งรายชื่อและข้อมูลของนักเรียนทุนซึ่งมีทั้งหมด 2,041 คน มาให้ เพื่อจะได้มอบสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แต่ละแห่งรับไปดูแล คุณหญิงกษมา กล่าวอีกว่า นักเรียนทุนทุกคนจะต้องรับการทดสอบเบื้องต้นก่อนบรรจุเป็นครู เช่น การสอบสัมภาษณ์ จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่นักเรียนทุนมีภูลำเนาอยู่ เมื่อผ่านการทดสอบเบื้องต้นแล้ว นักเรียนทุนที่ได้คะแนนทดสอบสูงจะมีสิทธิเลือกลง ร.ร.ก่อน โดย สพฐ.จะพยายามบรรจุนักเรียนทุนลง ร.ร.ที่อยู่ในอำเภอบ้านเกิดของเจ้าตัว แต่หาก ร.ร.ในเขตพื้นที่การศึกษาที่เป็นภูมิลำเนามีตำแหน่งว่างไม่ตรงกับสาขาวิชา เอกของนักศึกษา ก็ให้เปลี่ยนไปบรรจุ ร.ร. ที่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาข้างเคียงที่เปิดรับครูตรงตามสาขาวิชาเอกของนัก เรียนทุน แต่ถ้าร.ร.ในเขตพื้นที่การศึกษาข้างเคียงไม่เปิดรับ สพฐ.จะพยายามบรรจุให้อยู่ในภายในจังหวัดกันหรือจังหวัดติดต่อกัน “สพฐ. ได้สั่งการไปยัง สพท.ทุกแห่ง ให้เร่งสำรวจว่า ร.ร.ในพื้นที่แห่งใดบ้างที่ต้องการครูใหม่ พร้อมเร่งขออนุมัติจากคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ประจำเขตพื้นที่การศึกษาของตัวเอง ออกประกาศรับสมัครนักเรียนทุนเหล่านี้ ภายใน 16 เม.ย.นี้ เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ได้เสร็จบรรจุภายใน 15 พ.ค. นี้ สำหรับอัตราที่นำมาบรรจุนักเรียนทุนนั้น กั้นมาจากอัตราที่ได้คืนจากจำนวนครูที่เข้าโครงการเออรี่รีไทม์ในปีที่ผ่าน มา ขอให้นักเรียนทุนที่จบการศึกษาทุกราย เร่งไปขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับการบรรจุเป็นครู ทั้งนี้ นักเรียนทุนหลักสูตรครู 5 ปีนั้น จะต้องเป็นผู้ที่เรียนได้ผลการเรียนการเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.75 ในทุกภาคเรียน"เลขาธิการกพฐ. กล่าว คุณหญิงกษมา กล่าวต่อไปว่า สพฐ.ยังเตรียมเปิดสอบบรรจุบุคคลทั่วไปบรรจุเป็นครูในปี 2552 นี้ด้วย โดยมีเขตพื้นที่การศึกษาจำนวน 24 เขต ขอเปิดสอบครูใน 36 วิชา แต่ยังไม่ทราบยอดรวมจำนวนครูที่จะรับ ทั้งนี้ทาง สพฐ.ขอให้เขตพื้นที่ฯที่จะเปิดสอบครู เร่งขออนุญาต อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ ออกประกาศรับสมัครภายใน 16 เม.ย.เช่นกัน แต่ขั้นตอนการสอบบรรจุบุคคลทั่วไปเป็นครูนั้น มีขั้นตอนต่าง ๆ กินเวลามากกว่าการับนักเรียนทุน 5 ปีเป็นครู เพราะฉะนั้น คาดว่า ครูใหม่กลุ่มนี้จะบรรจุได้ในเดือน มิ.ย. อย่างไรก็ตาม ปีนี้ เป็นปีที่ สพฐ.จะสามารถบรรจุครูใหม่ได้มาก เพราะได้อัตราครูเกษียณก่อนกำหนด(เออร์ลี่) คืนมา 12,039 คน และได้อัตราเกษียณตามปกติคืน 5,139 คน



ที่มา Ncc.co.th

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการถ่ายภาพชัดตื้น - ชัดลึก


ควรใช้ขาตั้งกล้องเพื่อให้ภาพที่ได้ระดับ หรือเป็นมุมเดียวกัน

และป้องกันภาพสั่นไหวเมื่อปรับช่องรับแสงแคบ



---------------------------------------------------------------



เทคนิคการถ่ายภาพบุคคลระยะใกล้โดยใช้แสงธรรมชาติ
- เปิดช่องรับแสงให้กว้างเพื่อให้ฉากหลังเบลอ เน้นความเด่นของบุคคลผู้เป็นแบบ
- ใช้แสงที่อ่อน เช่นแสงแดดในตอนเช้า หรือตอนเย็น
- ใช้อุปกรณ์อื่นร่วมด้วย เช่น แผ่นสะท้อนแสง ขาตั้งกล้อง เป็นต้น
-เน้นแววตาที่เป็นประกายสดใส
- ใส่เสื้อผ้าให้ตัดกับฉากหลัง





--------------------------------------------------------------------------



เทคนิคการถ่ายภาพทีเผลอ (Candid)


ภาพทีเผลอ คือการถ่ายภาพที่บุคคลที่ถูกถ่ายไม่รู้ตัว

อาจเป็น กริยา อาการ การกระทำ ที่ดูน่าสนใจ หรือแปลกแตกต่างจากปกติ
1. ผู้ถ่ายต้องมีมุมมองใหม่ๆ เสมอ และมีความรวดเร็วในการใช้กล้อง
2. รายละเอียดปลีกย่อยในภาพจะต้องไม่ดึงความน่าสนใจของตัวแบบ
3. สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวแบบในภาพออกมาได้







---------------------------------------------------------------------------


เทคนิคการถ่ายภาพไฟกลางคืน

การถ่ายภาพในเวลากลางคืนจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่สำคัญคือ
ขาตั้งกล้อง และสายลั่นชัตเตอร์ เนื่องจากต้องใช้ Shutter Speed ต่ำ
ทำให้ไม่สามารถยืนถ่ายได้แบบปกติ หลักการถ่ายภาพไฟกลางคืนอย่างง่าย คือ
1. เปิดช่องรับแสงไม่ต่ำกว่า 8 หากเปิดกว้างเกินไปจะทำให้รูปที่ได้มีแสงฟุ้งมาก
2. ไม่ควรใช้ Shutter Speed เกิน 3 นาที เพราะถ้ากล้องเกิดการสั่นไหวจะทำให้ภาพนั้นเสียไป

3. หากไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ ควรใช้การตั้งเวลาในการถ่ายภาพเพื่อป้องกันการสั่นไหว
4. หากต้องการถ่ายพลุ ควรหามุมถ่ายบนอาคารสูง หรือจุดที่อยู่ห่างจากพลุพอสมควร
5. เพิ่มความสวยของแสงไฟด้วยฟิลเตอร์ชนิดพิเศษ
6. ไม่จำเป็นต้องใช้ค่า ISO สูงมากเกินไป

** * การถ่ายภาพในเวลากลางคืนควรไปเป็นหมู่คณะเพื่อความปลอดภัยของผู้ถ่ายภาพ





------------------------------------------------------------------------

เทคนิคการถ่ายภาพ Stop Action
ภาพ Stop Action คือการหยุดนิ่งบุคคลหรือวัตถุ
ให้หยุดนิ่งด้วยกริยาที่แตกต่างจากปกติ
หรือการลอยอยู่เหนือ


พื้นดิน ใช้หลักง่ายๆ คือ
- ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 500 - 4000
- ดูฉากหลังไม่รกจนเกินไป
- ไม่ควรถ่ายรถที่วิ่งตามปกติบนท้องถนน
- วัตถุในภาพต้องไม่เล็กจนเกินไป




----------------------------------------------------------------------------


เทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์

- เปิดหน้าเลนส์ให้กว้าง ใช้ช่องรับแสงให้แคบ
- เดินมากๆ เพื่อหามุมภาพสวยๆ
- ลองนำเทคนิคเงาดำเข้ามาใช้
- หากถ่ายภาพน้ำตก ลองใช้ชัตเตอร์ต่ำ
- เนื้อหาในภาพมีรายละเอียด หน้า กลาง หลัง
- ไม่แบ่งเส้นขอบฟ้าอยู่กลางภาพ








---------------------------------------------------------------------------


เทคนิคการถ่ายภาพ Panning

การ Pan คือการทำให้วัตถุในภาพดูเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว
มีหลักการง่ายๆ คือ
- ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า 40
- ดูฉากหลังไม่รกจนเกินไป
- วัตถุเด่นในภาพควรมีจุดเดียว
- เหลือเนื้อที่ด้านหน้าวัตถุพอสมควร









---------------------------------------------------------------------------



เทคนิคการถ่ายภาพอาชีพ

การถ่ายภาพประเภทนี้ ควรสื่อให้เห็นถึงวิถีของการประกอบอาชีพให้ชัดเจน
1. เสน่ห์ของการถ่ายภาพประเภทนี้ควรถ่ายจากการประกอบกิจกรรมจริงๆ โดยไม่ต้องจัดฉาก
2. จะต้องสื่อให้ชัดว่าประกอบอาชีพอะไร พยายามขจัดส่วนเกินอื่นๆ ออกไป
3. นำการเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจให้กับภาพ






-------------------------------------------------------------------------------

เทคนิคการถ่ายภาพสัตว์



- เลือกสัตว์ที่ดูน่ารัก น่ามอง


- เน้นแววตาที่สดใส มีชีวิตชีวา


-ถ่ายให้สัตว์เด่น ไม่เน้นฉากหลัง



- ไม่ถ่ายให้สัตว์ตัวเล็กจนเกินไป





---------------------------------------------------------------------

เทคนิคการถ่ายภาพดอกไม้

- ฉากหลังจะต้องไม่รกจนเกินไป (สามารถใช้กระดาษสีดำ หรือสีเขียวซ้อนเป็นฉากหลังได้)
- หากต้องการพรมน้ำดอกไม้ให้ดูสดชื่นควรดูเรื่องแสงด้วยว่าแสงแข็งหรือไม่
-แสงต้องเข้าด้านข้าง หากเข้าด้านหน้าตรงๆ จะทำให้ภาพดูแบนไร้มิติ
- เลือกดอกไม้ที่ไม่มีตำหนิน้อยที่สุด








วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552


สอนเหลือกูเกลียด สอนละเอียดกูงง


บอกตรงๆกู ขี้เกียจเรียน


เรียนไปก็ไร้ค่า ตายห่าก็ลืมหมด


สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่อธรรมชาติ


การบ้านคือยาพิษ เสาร์อาทิตย์คือสวรรค์


วันจันคือนรก สมุดพกคือวันตาย


ใดใดในโลกอนิจจัง ไม่อ่านยังสอบได้


กูอ่านแล้วไซร้สอบตก เพราะฉนั้นไซร้อย่าอ่านแม่งเลย


ระดับประถมศึกษา
1. ในระดับประถมศึกษา เด็ก ๆ จะต้องรู้วิชาพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่านแผนที่ การเขียนตลอดจนไวยากรณ์ ดังนั้น คุณควรจะทำให้คุ้นเคยกับวิชาต่าง ๆ ที่ลูกเรียน 2. สร้างแบบฝึกหัดทดสอบ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความรู้และให้เด็กได้รับความสนุกสนาน ไปพร้อมกันเป็นต้นว่าก่อนที่ลูกของคุณจะทำข้อสอบไวยากรณ์หรือตัวสะกด ให้คุณเขียนจดหมายถึงลูก เล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในครอบครัว อาทิ แผนการท่องเที่ยว หรือ สถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่ใส่เครื่องหมายวรรคตอนใด ๆ และเขียนตัวสะกดผิดไว้หลายแห่ง จากนั้นจึงให้ลูกแก้จดหมายให้ถูกต้อง 3. ตำราระดับประถมศึกษาส่วนใหญ่ มีตัวอย่างคำถามข้อสอบท้ายบทเรียนแต่ละบท ให้ลูกของคุณหมั่นทบทวนบทเรียนต่าง ๆ แล้วจึงถามเขาและให้เขาฝึกตอบ 4. สอนลูกของคุณให้รู้จักฟังคำพูดสำคัญของครู ในเวลาสอน ซึ่งอาจจะออกสอบต่อไปเช่น ครูพูดว่า "ต่อไปนี้ จงตั้งใจฟัง" ครูต้องการให้นักเรียนเข้าใจตรงจุดนี้" สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสมือน "แนวข้อสอบ" ให้จดจำไว้ทำสอบต่อไป 5. เมื่อทราบว่าจะมีการทดสอบ ให้ลูกทบทวนเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ถามลูกของคุณว่าเขาเรียนอ่อนเรื่องใดมากที่สุด แล้วให้ความช่วยเหลือเมื่อยามต้องการ


ระดับมัธยมศึกษา
1. เน้นความสำคัญในการหมั่นทำการบ้าน และหากเป็นไปได้ ให้ลูกของคุณทำการบ้านพิเศษเพิ่มเติม เพราะ ยิ่ง เขาให้เวลาทำการบ้านวิชานั้นมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งได้รับความรู้มากขึ้นเท่านั้น 2. เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนสอบ นักการศึกษาส่วนใหญ่เชื่อว่า "การกวดวิชา" ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าการได้รับความรู้แบบชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเด็กจะลืมหมดเมื่อสิ้นสุดการสอนดังนั้นคุณจึงควรช่วยลูกวางแผนในการทำข้อสอบล่วงหน้าโดยทบทวนเนื้อหาวิชาที่จะออกสอบอย่างเป็นระเบียบแบบแผน แล้วลูกของคุณจะมีโอกาสทำข้อสอบได้ดีขึ้น อีกทั้งยังได้รับความรู้เพิ่มขึ้นหลังจาการสอบ 3. ส่งเสริมให้ลูกจดบันทึก และร่างสรุปความเนื้อหาวิชาขณะที่กำลังเรียนจะเป็นการช่วยทบทวนบทเรียนอย่างมากเพื่อการสอบในครั้งต่อไป 4. แนะนำให้ลูกรู้จักการ "เรียนเป็นกลุ่ม" ก่อนทำข้อสอบ สมาชิกในกลุ่มประกอบด้วยเพื่อนนักเรียนในก้องเดียวกันหรือสมาชิกครอบครัวที่มีความรู้ในวิชาเดียวกัน


การสอบเข้ามหาวิทยาลัย
1. ในบางประเทศนักเรียนที่ต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องผ่าน การทำข้อสอบระดับมาตรฐาน ที่เรียกว่า SAT หรือ ACT เสียก่อนการที่จะทำข้อสอบได้ดี ก็จะต้องมีการเตรียมตัวศึกษาข้อสอบอย่างมีระเบียบแบบแผน นักศึกษาจะมีเวลาหลายเดือนในการเรียนและทบทวนเนื้อหาวิชาก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คุณควรให้ลูกหลานของคุณใช้เวลาน้อยวันละ ครึ่ง ชั่วโมง ในการทบทวนเนื้อหาวิชาที่จะสอบโดยเน้นวิชาที่เรียน อ่อนเป็นพิเศษ 2. ลงทุนซื้อหนังสือติวข้อสอบให้สักหนึ่งเล่มหรือหลายเล่ม ซึ่งในหนังสือจะมีตัวอย่างคำถาม ที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะข้อสอบโดยรวมมากขึ้น รวมทั้งเนื้อหาวิชาที่จะออกสอบ SAT หรือ ACT ให้สักหนึ่งเล่มซึ่งในหนังสือจะมีตัวอย่างคำถามที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะข้สอบโดยรวมมากขึ้นรวมทั้งเนื้อหาวิชาที่จะออกสอบ 3. สอนลูกว่าจะแบ่งเวลาอย่างไรก่อนจะทำข้อสอบ เขาควรจะอ่านข้อสอบคร่าว ๆ เสียก่อน เพื่อคะเนความยาว และความยากของข้อสอบ จดว่าข้อสอบมีกี่คำถามและกี่ส่วนเพื่อที่จะแบ่ง ๆ เวลาทำข้อสอบ ทำข้อที่รู้คำตอบเป็นอย่างดีเสียก่อน แล้วจึงกลับไปยังข้อที่แทบจะทำไม่ได้หรือไม่ได้เอาเลยและพยายามรักษาเวลาด้วย เมื่อเดาคำตอบได้แล้ว จึงเลือกคำตอบข้อที่ดีที่สุดและห้ามกลับไปเปลี่ยนคำตอบ 4. ควรให้ลูกไปเรียนเพิ่มเติมตามโรงเรียนพิเศษ ที่โฆษณาว่าสอนนักเรียน ทำข้อสอบมาตรฐานได้ รวมทั้งวิธีการทำข้อสอบ และการคลายเครียด ระหว่างทำข้อสอบการทำข้อสอบเป็นประสบการณ์ที่ยากลำบากและเต็มไปด้วยความเครียดสำหรับนักเรียนในทุกระดับชั้นการศึกษา ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ คุณควรจะช่วยลูกของคุณอย่างดีที่สุด โดยการช่วยสร้างความมั่นใจ และความนับถือตนเองให้แก่ลูกของคุณ ทั้งนี้จะทำให้เขาแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่

พระศรีญาณโสภณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวว่า ตามที่ มมร.ได้ดำเนินการโครงการช่วยเหลือเด็กที่มีฐานะยากจน โดยส่งให้ไปบวชเรียนตามโรงเรียนพระปริยัติธรรมต่าง ๆ
ซึ่งปรากฏว่าผู้เรียนส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบแล้วต้องการได้รับปริญญา โดยไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ซึ่ง มมร.เห็นว่าหากมีการตั้งโรงเรียนขึ้นมาเองจะทำให้มีความสะดวก และนักศึกษาพระได้เรียนตรงสายมากขึ้น
ดังนั้น มมร.จึงได้จัดตั้งโรงเรียนสาธิต มมร. ขึ้น โดยเปิดสอนทั้งแผนกสามัญศึกษา และแผนกธรรม-บาลีควบคู่กัน ซึ่งผู้เรียนไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นโครงการที่ต้องการช่วยเหลือเด็กยากจนให้ได้รับการศึกษา และเมื่อจบชั้นม.6 ก็จะเปิดโอกาสให้เข้าไปศึกษาต่อใน มมร.ด้วย พระศรีญาณโสภณ กล่าวต่อไปว่า ในปีการศึกษา 2552 นี้เป็นปีแรกที่โรงเรียนสาธิต มมร.เปิดทำการสอน โดยมีนักเรียนรุ่นแรก 60 รูป จัดการสอนตั้งแต่ระดับชั้น ม.1-ม.6 ทั้งสายสามัญฯ และธรรม-บาลี แบ่งเป็นสายสามัญฯ 3 ชั่วโมง และธรรม-บาลี อีก 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้เรียนจะได้ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม
นอกจากนี้ จะมีการสอนแนวทางการเทศน์ การจัดรายการวิทยุธรรมะ สอนการพูดภาษาอังกฤษ รวมทั้งมีรายวิชาที่ให้นักเรียนออกไปฝึกประสบการณ์ในการเทศน์สั่งสอนด้วย เพราะปัจจุบันจำนวนพระนักเทศน์ที่เก่ง ๆ มีจำนวนลดลง.



10 วิธีเรียนยังไงให้เก่ง
1.มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน จำไว้ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรามีสมาธิในการเรียน
2.ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหนและลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จ
3.บางวิชาที่ยากๆให้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม จะช่วยให้เก่งกันยกกลุ่ม
4.มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย ฝึกจนเป็นนิสัย อย่าตั้งใจเรียนหนังสือเป็นพักๆ
5.ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6.นั่งใกล้ครูมากที่สุด จะได้ไม่มีอะไรมาดึง ความสนใจในการเรียนของเรา
7.ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
8.จัดลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องทำ เช่น วิชาไหนด่วนที่สุด หรือหัวข้อไหนไม่เข่าใจ ต้องเรียงลำดับไว้ และ ทำ ตามให้ได้
9.ทำความเข้าใจว่าครูผู้สอนแต่ละวิชามีการให้คะแนนอย่างไร คะแนนเก็บเท่าไร คะแนนสอบเท่าไร วางแผนทำคะแนนให้ดีในแต่ละส่วน
10.สำคัญที่สุดในการเรียน ก็คือมุ่งมั่นตั้งใจเรียนไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า Work Smart , Not Hard